Sunday, April 23, 2017

สอนลูกเป็นเด็กสองภาษาได้อย่างไร...เมื่อพ่อแม่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย

สอนลูกเป็นเด็กสองภาษาได้อย่างไร...เมื่อพ่อแม่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย



Credit : http://go2pasa.ning.com/profiles/blogs/2456660:BlogPost:1315758


มีหลายครอบครัวที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากจะสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าอันตัวแม่นั้นมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษแค่หางอึ่งแล้วจะสอนลูกได้ยังไง หลายบ้านที่คิดแบบนี้แล้วหยุดความตั้งใจไว้ตรงนั้นปล่อยให้เป็นแค่ความคิดความฝัน แม่ต่ายอยากให้คุณแม่ทั้งหลายที่ประสบปัญหานี้อยู่หยุดความคิดนั้นไปเลยค่ะ เพราะว่าคุณทำได้ค่ะ มีหลายครอบครัวแล้วนะคะที่ประสบความสำเร็จในการสร้างลูกให้เป็นเด็กสองภาษาโดยตัวเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลย เรียนรู้ไปพร้อมๆกันกับลูกจนพูดเก่งพูดคล่อง

บทความนี้แม่ต่ายจะแนะนำแนวทางสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาแต่มีปัญหาเรื่องภาษาไม่เก่งหรือพูดไม่ได้เลย เผื่อเป็นแนวทาง สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสะดวกกับตัวคุณพ่อคุณแม่เองนะคะ เริ่มกันเลยค่ะ

1. เริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกเลย อย่ารอให้ตัวเองได้ก่อนแล้วค่อยสอน สิ่งที่เรารู้อยู่แล้วก็สอนลูกได้เลย สิ่งที่ไม่รู้ก็เรียนรู้ไปพร้อมกัน อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ เราเสียเปรียบเรื่องภาษาเรายิ่งต้องพยายามเรียนรู้ให้มากขึ้นเป็นหลายเท่า ท้อได้เหนื่อยได้ แต่อย่าถอย ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามและตั้งใจจริงของเรา

2. กำหนดชั่วโมงภาษาอังกฤษ อาจเริ่มต้นจากวันละ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นค่อยเพิ่มชั่วโมงขึ้นเรื่อยๆ อย่ากดดัน อย่าฝืนตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเริ่มคล่องแล้วทีนี้จัดเต็มเลยค่ะ ฟุตฟิตฟอไฟได้ทั้งวันเลย

3. เริ่มจากการเรียนรู้คำศัพท์ที่อยู่รอบๆตัวเรา หาคำศัพท์ก่อนแล้วจดใส่กระดาษหรือสมุดไว้หรือทำเป็น mind map ก็ได้ แยกเป็นหมวดหมู่ จะได้หาง่าย เช่น หมวดห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ เสื้อผ้า เป็นต้น การจำคำศัพท์แบบเป็นหมวดหมู่จะทำให้จำได้ง่ายกว่า เมื่อเรารู้จักคำศัพท์แล้วให้เช็คการออกเสียงที่ถูกต้อง จดคำอ่านไว้ด้วยเผื่อลืม จะได้สอนลูกออกเสียงได้ถูกต้อง

4. เมื่อได้คำศัพท์แล้ว ก็สอนลูก เวลาสอนก็ชี้ไปที่สิ่งของนั้นๆแล้วออกเสียงที่ถูกต้องให้ลูกฟัง พูดบ่อยๆ ทำซ้ำๆทุกวันแล้วเราและลูกก็จะจำได้โดยไม่ต้องไปเปิดสมุดจดดูอีกต่อไป

5. เมื่อมีคลังคำศัพท์ในหัวเยอะแล้ว ก็เริ่มสร้างประโยคคำถาม/คำตอบง่ายๆ เช่น What is this/that? It is a/an.... ถามเองตอบเองเลยค่ะ ถาม-ตอบกับลูกบ่อยๆเดี๋ยวจะจำได้เอง

6. เริ่มใช้ประโยคที่หลากหลายมากขึ้น คำพูดที่เรามักจะพูดในชีวิตประจำวันกับลูก หรือประโยคคำสั่งต่างๆ หาได้จากเว็บ ยูทูป เพจต่างๆ มักจะมีประโยคภาษาอังกฤษที่เรามักใช้พูดกับลูกต่างๆมากมาย จดและจำ นำเอาไปใช้กับลูก แนะนำว่าขอเป็นประโยคสั้นๆก่อนนะคะ อย่าเพิ่งใช้ประโยคแบบยาวๆและซับซ้อน พูดบ่อยๆ ซ้ำๆ เป็นประจำทุกวัน

7. อ่านหนังสือนิทานหรือหนังสืออ่านภาษาอังกฤษให้ลูกฟัง ถ้าอ่านไม่ได้ เปิดดิกเช็คการอ่านออกเสียงและจดคำอ่านลงไปในหนังสือเลยค่ะ เวลาอ่านให้ลูกฟังจะได้ง่าย ไม่สะดุด ที่สำคัญในหนังสือมักจะมีคำศัพท์ใหม่ๆ ประโยคต่างๆให้เราได้เรียนรู้และนำไปใช้ได้อีกด้วย

8. ฝึกสร้างประโยคพูดคุยกับลูกเอง โดยเน้นประโยคง่ายๆ ใช้ tense ง่ายๆ เช่น present simple, past simple หรือ present continuous ตามโครงสร้างข้างล่างเลยค่ะ
Present simple tense
บอกเล่า :
# ประธาน + กริยาช่อง1 + (กรรม)
# ประธาน + is/am/are + คำนาม/คำคุณศัพท์
คำถาม :
@ Do/does + ประธาน + กริยาช่อง 1 + (กรรม)?
@ Is/Am/Are + ประธาน + คำนาม/คำคุณศัพท์?
ปฏิเสธ :
฿ประธาน + do/does + not + กริยา + (กรรม)
฿ประธาน + is/am/are + not + คำนาม/คำคุณศัพท์

Present continuous tense
บอกเล่า :
# ประธาน +is/am/are+ กริยาเติม ing + (กรรม)
คำถาม :
@ Is/Am/Are + ประธาน + กริยาเติม ing + (กรรม)?
ปฏิเสธ :
฿ ประธาน + is/am/are + not + กริยาเติม ing + (กรรม)

Past simple tense
บอกเล่า :
# ประธาน + กริยาช่อง 2 + (กรรม)
คำถาม :
@ Did + ประธาน + กริยาช่อง 1 + (กรรม)?
ปฏิเสธ :
฿ ประธาน + did + not + กริยาช่อง 1 + (กรรม)

ลองฝึกสร้างประโยคเองง่ายๆแล้วนำไปพูดกับลูกดูนะคะ ถ้าประโยคไหนไม่ชัวร์ลองถามกูรูด้านภาษาดูก่อนนะคะ อย่าพูดแบบผิดๆ เดี๋ยวลูกจะจำแบบผิดๆไปด้วย ถ้ารู้ว่าผิดต้องรีบแก้ไขทันทีค่ะ

9. ฟังเพลง การ์ตูน หรือบทสนทนาที่เป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ ฟังแล้วต้องจำประโยคและนำไปใช้ด้วย

จากแนวทางที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถ้าเราทำซ้ำๆบ่อยๆ เราก็จะซึมซับและพูดได้เก่งและคล่องในที่สุด อาจจะเหนื่อยหน่อยนะคะสำหรับคนไม่มีพื้นฐานภาษาเลยแต่อย่าเพิ่งท้อค่ะ ดูครอบครัวอื่นที่เค้าทำได้ไว้เป็นแรงบันดาลใจ ขอเพียงมุ่งมั่นตั้งใจจริง ไม่ทีอะไรยากเกินความพยายามของเราค่ะ

สู้ๆนะคะ
ด้วยรักและปรารถนาดี
แม่ต่าย
ฝากกดติดตามเพจแม่ต่ายด้วยนะคะ แชร์ประสบการณ์การสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาและความรู้ด้านภาษาอังกฤษ
ชื่อเพจ น้องเนตั้น น้องเดม่อน เด็กสองภาษาด้วนมือแม่

https://www.facebook.com/nathan2pasa/



House Vocabulary รวมคำศัพท์เกี่ยวกับ"บ้าน"

House Vocabulary รวมคำศัพท์เกี่ยวกับ"บ้าน"

House Vocabulary
Rooms and Areas of a House
bathroom บาธรูมห้องนํ้า
bedroom เบดรูมห้องนอน
den เดนห้องพักผ่อนเพื่อดูทีวี หรืออี่นๆ
downstairs ดาวน์สแทร์ซชั้นล่าง
hall ฮอลล์ห้อโถง
kitchen คิทเชนห้องครัว
living room ลิฟวิ่งรูมห้องนั่งเล่น
master bedroom มาสเทอะ เบดรูมห้องนอนใหญ่สำหรับพ่อแม่
upstairs อัพสแทร์ซชั้นบน
Things in a House
bath บาธอ่างอาบนํ้า
bed เบดเตียงนอน
bedside table เบด ไซดฺ เทเบิลโต๊ะที่วางข้างเตียง
brush บรัชแปรงผม
carpet คาร์ พิทพรม
chair แชร์เก้าอี้
chest of drawers เชลส์ ออฟ
ดรอเออะส
ตู้ลิ้นชัก
closet โคลซ ซิทตู้ฝาผนัง
comb โคมบฺหวี
duvet ดูเว่ทผ้านวม
lamp แลมพฺตะเกียง
mirror มีเรอะกระจก
pictures พิกเชอะสรูปภาพ
pillow พิลโลหมอน
rug รักพรมเช็คเท้า
sheet ชีทผ้าปูที่นอน
shower เชาเออะฝักบัว
sofa โซฟาเก้าอี้นวม
sponge สพันจฺฟองนํ้า
stairs สแทร์บันได
table เทเบิลโต๊ะ
tap แท็พก๊อกนํ้า
telephone เทเลโพนโทรศัพท์
toilet ทอย ลิทส้วม
toilet paper ทอย ลิท เพเพอะกระดาษชำระ
toothbrush ทูธบรัชแปรงสีฟัน
toothpaste ทูธเพสทยาสีฟัน
cushion คูชั่นหมอนอิง
towel เทา เอิลผ้าขนหนู
wardrobe วอร์ โดรบตู้เสื้อผ้า
washbasin วอซ เบซินอ้างล้างหน้า
Outside a House
antenna แอนเทน นะสายอากาศ
back door แบคดอร์ประตูหลังบ้าน
chimney ซิม นีปล่องไฟ
curb เครร์บขอบถนน
driveway ไดรฟว เวถนนจากตัวบ้านเชื่อมเข้าหาถนนใหญ่
front door ฟรันทฺดอร์ประตูหน้าบ้าน
front yard; lawn ฟรันทฺ ยาร์ด ลอนสนามหญ้าหน้าบ้าน
garage กะราจโรงรถ
mailbox เมลบอคซฺตู้รับจดหมาย
porch พอร์ชระเบียงประตู
roof รูฟหลังคา
screen สกรีนมุ้งลวด
screen door สกรีน ดอร์ประตูมุ้งลวด
shingles ชิง เกิลกระเบื้อง
shutter ชัท เทอะหน้าต่างบานเกล็ด
sidewalk ไซดฺ วอคบาทวิถี
skylight สไค ไลท
ช่องกระจกบนเพดานสำหรับให้แสงลอดผ่านได้
ขอบคุณข้อมูลจาก Yindii.com 
ยูทูเบบี้

Credit http://go2pasa.ning.com/profiles/blogs/house-vocabulary

รู้ไหมว่า "boyfriend"&"boy friend" ..ความหมายนั้นแตกต่างกันค่ะ


Saturday, April 22, 2017

อยากให้ลูกเก่งภาษา เลือกโรงเรียนแบบไหนดี

อยากให้ลูกเก่งภาษา เลือกโรงเรียนแบบไหนดี






“การที่ลูกจะเก่งภาษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียนหรือครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ” – K-Expert

ในยุคที่รู้แค่ภาษาเดียวอาจไม่พอกับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน และภาษาอังกฤษก็กลายเป็นภาษาพื้นฐานที่ต้องใช้ในการทำงาน จึงเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ย่อมอยากให้ลูกสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว การเลือกโรงเรียนหรือหลักสูตรที่เรียนจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมทักษะด้านภาษาให้ลูกได้ ทั้งนี้โรงเรียนแต่ละประเภท หรือแต่ละหลักสูตรย่อมมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดย K-Expert มีข้อมูลมาฝากคุณพ่อคุณแม่เพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูก ดังนี้

โรงเรียนนานาชาติ
เป็นโรงเรียนที่ไม่ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ใช้หลักสูตรของต่างประเทศ เช่น หลักสูตรระบบอเมริกัน หลักสูตรระบบอังกฤษ ซึ่งโรงเรียนนานาชาติจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร และครูผู้สอนมาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษค่อนข้างเยอะ สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเรียนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโรงเรียนประเภทอื่น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ในการเข้าเรียน

โรงเรียนนานาชาติบางแห่งอาจมีเงื่อนไขในการรับเด็ก เช่น มีการทดสอบว่าเด็กสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้มากน้อยเพียงใด เพราะถ้าเด็กไม่เข้าใจหรือไม่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้เลย อาจเกิดความคับข้องใจ สับสน และส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กเมื่ออยู่ในโรงเรียนได้
สำหรับข้อควรคำนึงของการส่งลูกไปโรงเรียนนานาชาติ ก็คือ เด็กจะได้รับอิทธิพล วัฒนธรรม และวิธีคิดแบบฝรั่ง รวมถึงอาจรู้จักเพื่อนคนไทยน้อยกว่าเด็กไทยคนอื่นๆ และช่วงหลังมานี้มีการเปิดโรงเรียนนานาชาติกันมากขึ้นตามกระแสความนิยมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งต้องเช็คกันให้ดีว่าได้รับอนุญาตถูกต้องให้จัดตั้งหรือไม่ คุณภาพของครู และวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร


โรงเรียนสองภาษาหรือไบลิงกัว
เน้นการสอนแบบสองภาษา (บางโรงเรียนอาจมีภาษาที่สามด้วย ส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน) ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ การเรียนการสอนในแต่ละวันมีทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภาคภาษาไทยเป็นครูไทยสอน ภาคภาษาอังกฤษเป็นครูต่างชาติสอน ทำให้ค่าเล่าเรียนถูกกว่าโรงเรียนนานาชาติ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 70,000-140,000 บาท ทำให้เริ่มเป็นที่นิยมของพ่อแม่ผู้ปกครองมากขึ้น
ในการเลือกโรงเรียนสองภาษาให้ลูก จะต้องดูว่าครูต่างชาติที่มาสอนมีวุฒิการศึกษาเป็นอย่างไร มีวิธีการเรียนการสอนเป็นอย่างไร และที่สำคัญ การที่โรงเรียนสองภาษามีครู 2 วัฒนธรรม คือ ไทย และต่างชาติ ในมุมหนึ่ง เด็กจะรู้จักวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง เด็กอาจสับสนกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ เช่น ครูไทยสอนว่าไม่ควรเดินข้ามสิ่งของ หรือควรก้มหลังเมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ ในขณะที่ครูต่างชาติอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ที่จะให้ลูกเรียนโรงเรียนสองภาษาจะต้องช่วยเสริมทักษะต่างๆ ให้ลูกด้วย เช่น เรื่องมารยาท เรื่องการพูด เป็นต้น

นอกจากการส่งเสริมให้ลูกเก่งภาษาด้วยการให้ลูกเรียนในโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนสองภาษาแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกเรียนในโรงเรียนปกติที่เป็นหลักสูตรภาษาไทย แล้วเสริมทักษะด้านภาษาด้วยการเรียนพิเศษที่สถาบันสอนภาษาเพิ่มเติม ซึ่งวิธีนี้จะช่วยคุณพ่อคุณแม่ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกอาจมีโอกาสสื่อสารหรือใช้ภาษาอังกฤษน้อยกว่าการเรียนในโรงเรียนที่มีการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเลือกส่งเสริมทักษะด้านภาษาให้ลูกด้วยวิธีใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งภาษาได้อยู่ที่การฝึกฝน รวมถึงการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันด้วยค่ะ

ติดตามบทความเกี่ยวข้องกับ “อยากให้ลูกเก่งภาษา เลือกโรงเรียนแบบไหนดี” ได้ที่ www.askKBank.com/K-Expert และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับที่ปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

credit: http://rakluke.com/school-zone/11/56/1435/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5

เลี้ยงเด็ก 2 ภาษา ไม่ให้เป็นแบบไทยไม่ค่อยจะได้ อังกฤษก็ไม่ค่อยจะดี

สมัยนี้ความสามารถในภาษาที่ 2 เป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันมีเด็กหลายคนเข้าโรงเรียนนานาชาติ ทำให้พูดภาษาอังกฤษได้และภาษาไทยก็พูดได้ที่บ้าน แต่ปัญหาคือเด็กหลายคนได้แค่ฟังกับพูดได้ดี เมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นที่ดี การอ่านและเขียนจะเทียบเจ้าของภาษาไม่ได้เลย สุดท้ายคือไม่ได้ซักภาษา

สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ลูกได้เป็นเด็ก 2 ภาษา
1. ภาษาที่บ้านต้องเข้มแข็ง ภาษาที่คุยกันที่บ้านต้องดีก่อน ถึงจะสามารถพัฒนาภาษาที่ 2 ได้ เรื่องนี้สำคัญมาก จะเห็นได้จากตัวอย่างเด็กหลายคนที่พ่อแม่คุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษทั้งที่ตัวเองเป็นคนไทย ไม่ได้ให้ความสนใจสอนหรือพูดคุยภาษาไทยกับลูก ไม่ได้สนใจว่าเด็กจะอ่านเขียนไทยดีหรือไม่ เมื่อลูกเข้าโรงเรียน หากการสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนไม่เข้มพอ เด็กจะออกมาเป็นคนที่ไม่ได้แม้แต่ภาษาเดียว คือได้แค่พอสื่อสารได้ อย่าลืมนะค๊ะว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ใช่คนที่มีความสามารถด้านภาษาดีเลิศ จะจบที่ไม่ได้ภาษาอะไรเลย เพราะฉะนั้นพ่อแม่ที่เป็นคนไทย ควรพูดภาษาไทยกับลูก ให้ภาษาไทยมีความเข้มแข็งก่อน จึงให้ลูกหัดภาษาอังกฤษ
2. หากพ่อและแม่มีภาษาหลักคนละภาษา ให้ต่างคนต่างพูดภาษาของตนเองเวลาพูดกับลูก เช่น แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นฝรั่งเศส ก็ให้แม่พูดไทยกับลูกเสมอ และพ่อพูดฝรั่งเศสเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง หากคุณต้องคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ก็คุยกันได้เมื่ออยู่ครบทั้งครอบครัว แต่คุณแม่จะไม่ข้ามไปพูดฝรั่งเศสกับลูก เพราะนอกจากเราจะไม่ใช่สำเนียงเจ้าของภาษาแล้ว เด็กก็จะสับสนด้วย
3. ถ้าทั้งคู่ไม่เก่งอังกฤษ อย่าพูดภาษาอังกฤษกับลูก ถ้าให้ลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติแล้ว เด็กสามารถเรียนรู้ปรับตัวได้ ช่วงแรกอาจจะยากหน่อย แต่ไม่นานเขาจะทำได้เอง คุณอาจจะอ่านหนังสือให้ลูกเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ช่วงที่คุยกันให้คุยภาษาที่คุณถนัด
4. อย่าเอาแต่ให้ลูกเรียนในห้องเรียน วิธีพัฒนาภาษาที่ดีที่สุดคือการได้ใช้ ลองพาลูกไปเข้ากลุ่ม playgroup ที่มีเด็กจากต่างชาติร่วมด้วย หาเพื่อนเล่นที่พูดอีกภาษาให้ลูก ดูภาพยนตร์เป็นภาษาอังกฤษ หรือใช้ภาษาอังกฤษด้วยวิธีอื่น ๆ ยิ่งลูกเล็ก ๆ เราไม่แนะนำให้ไปเรียนพิเศษภาษาต่าง ๆ จริงอยู่ที่การหัดยิ่งเล็กยิ่งเป็นเร็ว แต่เด็กที่ได้ใช้เวลากับพ่อแม่ ได้วิ่งเล่น เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวจะมีพัฒนาการที่ดีกว่าเด็กที่ต้องนั่งอยู่แต่ในห้องเรียน ซึ่งพัฒนาการโดยรวมของลูกย่อมสำคัญกว่าเสมอ
การพูดได้หลายภาษาเท่ากับเป็นการได้ออกกำลังสมอง ทำให้เป็นคนคิดวิเคราะห์เก่ง จัดการเวลาได้ดี ทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน และยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม
การที่เด็กจะฟัง พูด อ่าน เขียนได้เหมือนเจ้าของภาษาได้มากกว่า 1 ภาษา ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าจัดที่เรียนภาษาให้แล้วเด็กจะสามารถพูดได้ทุกคน จำไว้เสมอว่า เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเก่งด้านภาษา ด้านดนตรี ด้านกีฬา ด้านการคิดคำนวณ ฯลฯ เพราะฉะนั้น อย่ากดดันลูกเมื่อเขาทำไม่ได้ และอย่าเปรียบเทียบลูกกับเด็กบ้านอื่น หาจุดแข็งของลูกและพัฒนาจุดนั้นจะดีกว่า
เด็ก 2 ภาษา, อังกฤษ, ไทย, โรงเรียนนานาชาติ
Ondine Ullman
บทความนี้รวบรวมมาจากการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ จัดโดย International Parenting Network (IPN) ภายใต้หัวข้อ “How To Raise Bilingual Children” โดย Ondine Ullman ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและการพัฒนาภาษาอังกฤษของเด็กที่ไม่ได้พูดอังกฤษเป็นภาษาหลัก

credit: https://th.theasianparent.com/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81-2-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B5/2/

พูดสองภาษาทำลูกก้าวหน้า… จริง?

ปัจจุบันนี้ภาษาที่สองดูจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าใครที่สามารถพูดภาษาที่สองได้ก็จะได้เปรียบ มีทางเลือก  มีภาษีดีกว่า  จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณพอคุณแม่สมัยใหม่จะผลักดันและกระตุ้นให้ลูกฝึกใช้ภาษาอื่นๆ ควบคู่ไปกับภาษาไทยตั้งแต่ยังเล็กๆ   แต่ผลที่ได้รับสำหรับบางครอบครัวอาจจไม่เป็นอย่างใจหวัง

เด็กบางคนเป็นลูกครึ่งคุณพ่อพูดภาษาหนึ่ง  คุณแม่พูดภาษาหนึ่ง ลูกกลับพูดเป็นคำที่ไม่มีความหมาย เปล่งเสียงพูดแปลก ๆ เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน  บางคนคุณพ่อคุณแม่เป็นคนไทยทั้งคู่  พูดภาษาไทยกับคนอื่นแต่พูดภาษาอังกฤษกับลูก  ลูกก็อาจโต้ตอบคุณพ่อคุณแม่เป็นภาษาอังกฤษ  แต่พอเจอคนไทยพูดภาษาไทยลูกกลับไม่ยอมพูดด้วย  หรือพูดได้ช้า  พูดไม่ชัดกลายเป็นเด็กมีปัญหาในการสื่อสาร  หลายคนเริ่มไม่แน่ใจว่าควรสอนลูกพูดสองภาษาหรือไม่  และควรเริ่มในวัยไหนจึงจะเหมาะสม


เรื่องนี้คุณหมอปราณี สิตะโปสะ กุมารแพทย์ สถาบันส่งเสริมสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า…
  • เด็กที่มีพ่อหรือแม่เป็นคนต่างชาติ สามารถสอนลูกพูดได้ทั้งสองภาษาตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ คือพูดกับลูกตั้งแต่ตอนที่เขายังพูดไม่ได้นี่ล่ะ พ่อพูดภาษาหนึ่ง แม่พูดภาษาหนึ่ง ก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะเด็กจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ตั้งแต่เกิด โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นหลัก พูดไปได้เลยควบคู่กันทั้งสองภาษา เพราะสำหรับเด็กการเข้าใจ การได้ฟังภาษาต่าง ๆ จะค่อย ๆ เกิดขึ้นภายในขวบปีแรก
  • แต่…ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนนะคะที่เราจะสามารถพูดหรือสอนสองภาษาได้ เพราะเด็กบางคน อาจจะมีแนวโน้มของการพูดช้า หรือมีปัญหาเรื่องการได้ยิน การรับฟัง การออกเสียง ซึ่งถ้าเด็กมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะสอนภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นหลักไปก่อน เพื่อป้องกันการเกิดความสับสน และไม่ทำให้ลูกพูดช้าลงไปกว่าที่เป็นอยู่
  • สำหรับครอบครัวไหนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ถนัดเรื่องการพูดภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเริ่มช้าไป    การเริ่มสอนภาษาที่สองให้ได้ผลดี ควรเริ่มก่อนลูกอายุ 7 ปีค่ะ หรือว่าภายในช่วงปฐมวัย เพราะช่วงนี้เด็กจะสนใจเรื่องภาษา ยิ่งช่วงเด็กยังเล็กจะสามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปได้ดี จะสามารถใช้ภาษาได้อย่างแตกฉาน ทั้งนี้ขึ้นกับความพร้อมของเด็ก และต้องมีความสม่ำเสมอในการเรียนรู้ด้วย  ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถหาตัวช่วยได้โดยการใช้สื่อความรู้ภาษาที่สอง   หรือเลือกเรียนโรงเรียนสองภาษา,  English Program,  โรงเรียนนานาชาติ  ตามกำลังทรัพย์และความเหมาะสมได้ค่ะ
credit: http://www.healthandtrend.com/parental/kid/kids-bilingual

The Truths about Bilingual Kids บทที่1: โอกาสฝึกลูกให้เป็นเด็กสองภาษา

The Truths about Bilingual Kids บทที่1: โอกาสฝึกลูกให้เป็นเด็กสองภาษา
บทที่1: โอกาสฝึกลูกให้เป็นเด็กสองภาษา
ปัญหาของเด็กไทยกับภาษาอังกฤษ
ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการเด็กแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งที่อยากถ่ายทอดประสบการณ์เลี้ยงลูกที่ตัวเองคิดว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ลูกชายผม ณปัจจุบันอายุใกล้จะสามขวบและพูดตอบโต้เป็นภาอังกฤษได้ในระดับที่ผมพอใจและเขายังทำให้ผมและแฟนประหลาดใจในความสามารถของเขาในบางครั้งอีกด้วย อาทิเช่นเขาพูดคำที่เราเคยสอนตั้งแต่สองขวบและเขาก็จู่ๆจำได้ขึ้นมาและพูดออกมาเอง ผมเองก็เหมือนกับพ่อแม่อีกหลายๆท่านที่ต้องการให้ลูกเก่งด้านภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ จากที่ได้เห็นสภาวะปัจจุบันและสมัยก่อนในเรื่องการศึกษา (โดยรวมและในด้านภาษาอังกฤษของเด็กไทย) แล้วนั้นผมได้ตั้งคำถามหลักๆไว้ว่า
1) มันเป็นเรื่องปกติหรือที่เด็กไทยนั้นต้องอ่อนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการพูดสนทนา?
2) เป็นไปได้ไหมที่เด็กไทยจะมีทักษะด้านภาษาคล้ายเด็กต่างชาติ แล้วจะฝึกด้วยวิธีใด?
แน่นอนผมเชื่อว่าหากลูกของเราเก่งภาษาอังกฤษโดยมีการปูพื้นฐานที่ดีแล้วนั้น ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระอีกหลายเรื่อง อาทิเด็กเองไม่ต้องไปกวดวิชาภาษาอังกฤษแบบบ้าคลั่งที่ปัจจุบันนั้นมีหลายคอร์สให้เลือกให้จ่ายเงิน หรือที่สำคัญก็มีเวลาเพิ่มขึ้นที่จะลงกวดวิชาตัวอื่นๆเสริม หรือไม่ก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้นในการทำกิจกรรมอื่นๆนอกจากการเรียนกวดวิชาซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กยุคนี้ไปเสียแล้ว อย่างไรก็ดีคำถามที่สำคัญคาใจที่ผมเชื่อว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่คงคิดเช่นเดียวดันก็คือเหตุที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่อ่อนภาอังกฤษนั้นเป็นผลพวงของระบบการศึกษาไทย หลักสูตรไม่ได้มาตรฐาน วิธีการสอนไม่ดีพอ หรือเป็นเพราะว่าเด็กยุคหลังๆเรียนยากขึ้นจึงทำให้คะแนนและความสามารถด้านภาษานั้นไม่ดีอย่างชัดเจน? คำตอบนี้ก็ยังคงรอคำอธิบายหรือตอบที่ยังเป็นปริศนาดังเดิม
แต่ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ที่แข่งขันสูงพอควรและอยากให้ลูกเรียนเก่งๆทำคะแนนได้สูงๆเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนจนถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีตามคาดหวังเพื่อที่นำไปสู่การทำงานที่ดีในอนาคตแล้วนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษะภาอังกฤษที่สูงและมีมาตรฐานนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราพึงประสงค์ให้ลูกได้รับติดตัวไว้ ดังนั้นการเอาใจใส่ในการให้ ’โอกาส’ เรียนรู้ในด้านภาษาคงยังเป็นหนึ่งในหลายๆเป้าหมายที่พ่อแม่ควรเอาใจใส่ต่อการเรียนของลูกหลานต่อไป
เด็กสองภาษาเป็นอย่างไร
ผมเชื่อเด็กนักเรียนที่ไม่มีปัญหาเรื่องวิชาภาษาอังกฤษหากไม่ใช่คนที่ขยันเรียนในวิชานั้นก็ต้องเป็นเด็กที่มีทักษะภาษาอังกฤษอย่างเป็น ’ธรรมชาติ’ และโดย’ธรรมชาติ’นั้นก็หมายถึงว่าโดยกำเนิด (เป็นเด็กต่างชาติหรือเด็กฝรั่งนั่นเอง)หรือไม่ก็อยู่ในครอบครัวที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารและได้ฝึกทักษะนั้นตั่งแต่อายุน้อย พวกเราคงเคยเห็นและรู้จักว่าเด็กที่สามารถพูดและเขียนได้มากกว่าหนึ่งภาษา และหากว่าเก่งสองภาษาคือไทยและอังกฤษเราก็จะเรียกพวกเขาว่ามีทักษะ Bilingual นั้นเองร สำหรับผมแล้วคำจำกัดความลักษณะของเด็ก Bilingual นั้นไม่ใช่พูดถึงเด็กที่มีความสามารถเหนือมนุษย์มนา แต่โดยคร่าวๆแล้วควรมีคุณลักษณะดังนี้คือ
1) สามารถพูดและเข้าใจทั้งสองภาษา (ในกรณีนี้คือภาไทยและอังกฤษ) อย่างคล่องเปรียบดังเจ้าของภาษา
2) แสดงออกถึงการใช้และเข้าใจภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ
จากทั้งสองคำอธิบายที่สั้นและชัดเจนนี้บ่งบอกให้เห็นถึงลักษณะหลักของเด็กสองภาษาว่าอาจเป็นไปได้ยากกับเด็กไทยส่วนมากที่เติบโตในครอบครัวไทยๆทั่วๆไป เด็กไทยที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเก่ง รู้คำศัพท์ที่ยากและมากมาย และสามารถคุยกับฝรั่งได้อย่างเข้าใจนั้นผมไม่ถือว่าเป็นเด็กสองภาษาครับ เด็กกลุ่มนั่นคือเด็กที่เก่งภาษาอังกฤษที่อย่างไรก็ดีก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของทั้งพ่อแม่และตัวเด็กเองที่ได้ประสบความสำเร็จด้านภาษา
ดังนั้นจากทั้งสองคำจำกัดความนั้นผมถือว่าความเป็นธรรมชาติในการใช้ภาษาเป็นตัวบ่งบอกหลักถึงความเป็นสองภาษาที่แท้จริง อันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นแก่นสาร ความเป็นธรรมชาตินี่แหละเป็นตัวทำให้เด็กซึมซับกับภาษาเข้าใจการใช้ได้แบบง่าย พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงความยากเย็นแสนเข็นเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กไทยที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียนภาษาดั่งเป็นหนึ่งวิชา เด็กสองภาษาจะไม่รู้สึกว่ามันยากจนเกินไปและได้เปรียบในเรื่องของ‘ทางลัด’ในการเข้าใจภาษานั้นๆดุจเจ้าของภาษาเอง เห็นไหมครับว่าหากลูกหลานเราได้ฝึกทักษะสองภาษาได้แล้วก็จะเกิดผลประโยชน์มากมายสู่ตัวเขาเอง
การเป็นBilingual สำคัญไฉน?
มาถึงจุดนี้คงมีพ่อแม่หลายท่านที่อาจแย้งผมว่าการกวดวิชาให้เก่งภาษาก็เป็นวิธีที่ดีฝึกฝนภาษา ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกทักษะสองภาษานี่เลยเพราะท้ายสุดสิ่งที่ทุกคนต้องการคือลูกทำข้อสอบได้ ทำคะแนนถึงและเข้าโรงเรียนที่หวังได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจำเป็นต้องเด่นเรื่องภาษา ท้ายสุดจะมีสักกี่คนเชียวที่จะทำงานด้านภาษาโดยตรง? หรือไม่การพูดถึงทักษะสองภาษานี้โอ้อวดเกินจริง
ไม่ผิดหรอกครับ ผมเชื่อว่าพ่อแม่หลายคนคงคิดเช่นนี้ แต่สิ่งที่ผมจะมานำเสนอนั้นเปรียบเสมือนตัวช่วยหรือแนวทางปลูกฝังทักษะเรียนรู้ภาษาอีกหนึ่งรูปแบบอันซึ่งในระยะยาวจะส่งผลดีต่ออีกหลายๆสิ่งที่เขา การเก่งภาษาแบบเชี่ยวชาญนี้เปรียบเหมือนความสามารถที่จะติดตัวเข้าไปยาวนาน ยิ่งในช่วงการเห่อ AECแล้วนั้น หลายคนคงตระหนักว่าการเคี่ยวเข็ญลูกไปกวดวิชาภาษาอาจไม่สามารถตอบโจทย์หลายๆอย่าง หากเด็กได้มีพื้นฐานที่ดีแล้วเข้าก็สามรถเรียนรู้อื่นๆได้เอง นอกจากนี้หากมองถึงระบบการเรียนในโรงเรียนแล้วเกือบทุกโรงเรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาในระดับสากลมายิ่งขึ้น โรงเรียนจ้างครูต่างชาติมาฝึกนักเรียนด้านทักษะการพูดและฟังซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก กระนั้นเองหากลูกของเรามีพื้นฐานที่ดีกว่าเพื่อนๆหลายก้าว ผมเชื่อว่าเขาจะรับมือได้ดีอย่างเป็นธรรมชาติ จะยิ่งมีความมั่นใจที่ได้ใช้ความสามารถนั้น ได้แสดงออกมากขึ้นกับวิชาภาษาอังกฤษที่เขาได้ซึมซับประดุจภาษาเองดีกว่าคนอื่นๆอย่างแน่นอนครับ
เด็กสองภาษาคือพรสวรรค์หรือการฝึก
ดูจากคำนิยามที่ผมตั้งไว้ตอนแรกแล้ว หลายคนคงสงสัยว่าเด็กไทยสักกี่คนเชียวที่จะสามารถฝึกทักษะได้คล้ายเจ้าของภาษาโดยไม่พึ่งโรงเรียนกวดวิชา หรือไม่ก็จำเป็นต้องมีพ่อหรือแม่เป็นฝรั่งชาวต่างชาติที่คอยสอนภาษาจนพูดได้คล่อง ดังนั้นเด็กสองภาษานี้จะฝึกหรือปั้นได้ไหมและอย่างไร?
ถูกแล้วครับ อย่างที่ได้เกร่นมาแรกๆว่าการปลูกฝังทักษะระบบสองภาษาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เป็นผลของการงเรียนเก่งวิชาภาษาอังกฤษ แต่ต้องมีพื้นฐานด้านภาษาทางฟัง พูด อ่านเขียนที่คล่องแคล้ว ลึกซึ้งในระดับนึงด้วย นั่นก็หมายความว่าลูกหลานต้องถูกปลูกฝังการใช้ภาษาตั้งแต่วัยเด็กเพื่อให้มันนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกและส่งผลให้กระบวนการคิด การพูดนั้นเป็นโครงสร้างภาษาอังกฤษโดยตรง ท้ายสุดแล้วเด็กกลุ่มนี้จะเป็นภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ผมขอสรุปว่าเด็กที่สามารถปั้นเป็น Bilingual นั้นมาจากสองกลุ่มหลักๆคือ
1) เด็กที่โดยธรรมชาติมีพ่อหรือแม่ที่เป็นชาวต่างชาติและใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการพูดและก็ยังใช้ภาษาไทยด้วย
2) เด็กที่มีพ่อหรือแม่หรือทั้งคู่ที่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีและใช้ทั้งสองภาษาในการพูดคุยกับลูก
หากคุณอยู่ในกลุ่มใดสักกลุ่มที่ผมพูดถึงก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับว่าลูกของท่านมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับทักษะbilingual ที่เรากำลังพูดถึงนี้ แต่ทำไมแค่เพียง'มีแนวโน้ม' หละ ไม่ใช่ว่าจะ 'เป็น'เลยหรือ คำตอบก็คือมันเป็นแค่ความโชคดีของเด็กครับที่มีครอบครัวที่สามารถปลูกฝังพรสวรรค์น้อยๆนี้ให้กับเขา แต่หากขาดการฝึกฝนหรือความตั้งใจจริงในส่วนของพ่อแม่แล้วนั้นก็จะกลายเป็นการเสียโอกาสครับ

Credit: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=englishforyou

Take it easy!!!

Take it easy!!! ใจเย็นๆ ปล่อยวางและผ่อนคลาย ในเวลาการทำงานอย่างรอบคอบจะมีเรื่องราวให้คิดมาก และอยู่สถานการณ์ภายใต้ภาวะความกดดันบ่อยๆ เราจ...